- “หุ้นจะหยุดลง เมื่อผู้คนหยุดขาย”
- “หุ้นจะหยุดขึ้น เมื่อไม่มีใครอยากซื้อ”
ราคาหุ้นที่ขึ้นลงในแต่ละวัน ไม่ได้อยู่ที่พื้นฐานหรือผลประกอบการของบริษัทฯ แต่ราคาหุ้นที่ขึ้นลง มันเป็นไปตามความต้องการของผู้คนในตลาดที่อยากจะซื้อ-อยากจะขาย ถ้าไม่มีคนอยากซื้อ และอยากขายในราคาเดียวกัน เกิดขึ้นหุ้นนั้นๆ ก็ไม่สามารถเกิดการซื้อขายขึ้นได้ ดังนั้น การไหลลงของราคาอย่างรุนแรง มันแสดงถึงผู้คนในตลาด เกิดอาการ “กลัว” อย่างรุนแรง กลัวอะไร ???…………….กลัวไม่ได้ขายไง จึงยอมขายทุกราคา …. ลงมาต่ำแค่ไหนก็จะขาย… ในทางกลับกัน หุ้นที่ วิ่งขึ้น วิ่งขึ้น และวิ่งขึ้น อย่างที่ไม่เคยรอใคร ขึ้นทีเดียว กิน Offer ไปเลย 3 ช่อง.. ก็อาจจะเคยเห็นกัน … นั่นเป็น อาการของผู้คนในตลาด มีความอยากได้ หุ้นมากๆ ราคาไหนมาเลย ซื้อหมด .. ขึ้นสูง แค่ไหนก็ซื้อ เพราะ “กลัว” …… กลัวอะไร ????……………. กลัว ซื้อไม่ได้ ไง …. เลยแย่งกันซื้อ… แพงกว่าก็ซื้อ …. เราปฎิเสธ ไม่ได้หรอกว่า นั่นเป็น เพราะ ความโลภ และความกลัว ที่อยู่ในตัวคนทุกคน … อยากรวย..อยากกำไร…จึง “ซื้อ” … กลัวขาดทุน กลัวกำไรน้อย.. จึง “ขาย”...
หลักการง่ายๆในการจับจังหวะซื้อ-ขายโดยดูจาก volume คือ ให้เปรียบเทียบ volume ของวันปัจจุบัน เทียบกับ 5 วันที่ผ่านมา ถ้า Volume มากขึ้นกว่า 5 วันที่ผ่านมา แสดงว่ามีคนซื้อขายมากกว่าปกติ ดังนั้นถ้าในวันที่มีการซื้อขายมากแล้วราคาขึ้นเป็นแท่งสีเขียว ก็น่าจะเป็น ข้อสรุปได้ว่า “มีคนแย่งกันซื้อ” และ ถ้า volume มากแล้วราคาลงเป็นแท่งแดงก็น่าจะสรุปได้ว่า “มีคนแย่งกันขาย”
หากเราลองปรับกราฟ volume ให้แสดงเส้นค่าเฉลี่ย MA เฉลี่ย 5 วัน จะเห็นว่ามีวันที่ volume สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย นั่นก็หมายความว่า วันไหนที่ volume อยู่สูงกว่าเส้น ก็เป็นวันที่มีปริมาณการซื้อขายสูงมากกว่าค่าเฉลี่ยของ 5 วันที่ผ่านมา ก็น่าจะถือได้ว่าเป็น “สภาวะที่ น่าสนใจ” ยิ่งสูงกว่ามากๆ ยิ่งน่าสนใจ การคาดการณ์แนวโน้มเราจะใช้ข้อมูล 3 ส่วนประกอบกัน คือ ข้อมูลของของแท่งเทียนราคา ปริมาณ volume และเส้นกราฟ MA ค่าเฉลี่ย 5 วัน โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
1. ถ้าแท่งเทียนราคายาวและมี volume สูงกว่าเส้นกราฟ MA ค่าเฉลี่ย 5 วันมาก จะเป็นการบอกแนวโน้มทิศทางที่ชัดเจน ถ้าแท่งราคาเขียวยาวก็เป็นแนวโน้มขาขึ้น แต่ถ้าแท่งราคาแดงยาวก็เป็นแนวโน้มขาลง
2. ถ้าแท่งเทียนราคายาว แต่ Volume สูงกว่าเส้นกราฟ MA ค่าเฉลี่ย 5 วันน้อย จะเป็นสัญญาณแนวโน้มที่ไม่ชัดเจน ถ้าแท่งราคาเขียวยาวก็ขึ้นไม่นาน ถ้าแท่งราคาแดงยาวก็ลงไม่นาน
3. ถ้าแท่งเทียนราคาสั้นและ Volume สูงกว่าเส้นกราฟ MA ค่าเฉลี่ย 5 วันน้อย จะเป็นช่วงพักตัว ต้องรอดูต่อว่าจะออกข้างหรือไหลลง
4. ถ้าแท่งเทียนราคาสั้น แต่ Volume สูงกว่าเส้นกราฟ MA ค่าเฉลี่ย 5 วันอย่างมาก จะเป็นการบอกถึงแนวโน้มที่หุ้นจะขึ้นหรือลงอย่างรุนแรง ถ้าแท่งราคาสีเขียวหมายถึงราคาหุ้นพร้อมจะกระโดดขึ้นอย่างแรง แต่ราคาสีแดงหมายถึงราคาหุ้นพร้อมจะลงอย่างแรงเช่นกัน
นอกจากนี้เรายังสามารถดูแนวโน้มแบบอื่นได้ดังนี้
ถ้าราคาที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากนั้นราคามีการปรับตัวลง และปริมาณการซื้อขายปรับตัวลดลงตามมาด้วย แสดงให้เห็นถึงการลดลงของราคาแบบชั่วคราว หลังจากนั้นจะราคาหุ้นจะมีการปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
การที่ราคาวิ่งมาระยะหนึ่ง แล้ว จู่ๆ Volume มาก และ ราคาวิ่งขึ้น/ลง อย่างเร็ว อาจจะมีการเปิด Gap ด้วย แสดงว่า ”ใกล้จบรอบแล้ว”
การที่ราคาวิ่งมาขึ้นมาดีๆ จู่ Volume เริ่มเบา แต่ราคาขึ้นต่อให้ระวังแรงขาย
เมื่อพบ Volume Divergent คือ ราคาถอยพักลงมาแล้ว กลับตัวขึ้นต่อทำ New High แต่ราคาสูงอันใหม่ Volume กลับ น้อยกว่ายอดสูงอันเดิม แสดงว่าใกล้เปลี่ยนทิศทาง
การขายหุ้นอย่างตื่นตระหนก (PANIC SELLING) เกิดขึ้นจากราคาที่มีการลดลงมาเป็นระยะเวลานาน และต่อมาราคาตกดิ่งลงในขณะที่ VOLUME กลับเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นช่วงวิกฤติการขาย (SELLING CLIMAX) ซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของตลาดหรือหุ้น เพราะบ่อยครั้งที่วิกฤติการขาย(SELLING CLIMAX) จะเป็นจุดจบของ BEAR MARKET
ปริมาณการซื้อขาย Volume และ ราคามักจะเป็นไปตามแนวโน้ม ในแนวโน้มขาขึ้นแรงซื้อต้องมากกว่าแรงขาย แท่งเทียนสีเขียวต้องมี Volume มากกว่าแท่งเทียนสีแดง ส่วนแนวโน้มขาลงแรงขายต้องมากกว่าแรงซื้อแท่งเทียนสีแดงต้องมี Volume มากกว่าแท่งเทียนสีเขียวในตลอดแนวโน้มขาลง
หากปริมาณการซื้อขาย Volume เคลื่อนที่ไม่สอดคล้องกับราคาจะเป็นสัญญานของการเปลี่ยนแนวโน้มราคา จากแนวโน้มขาขึ้นเป็นขาลง หรือจากแนวโน้มขาลงเป็นขึ้น เช่น ราคาหุ้นปรับขึ้นทำ New high ใหม่ในแต่ละรอบ แต่ปริมาณการซื้อขาย Volume น้อยลง จะเห็นว่ามันไม่ สอดคล้องกัน แปลว่าการขึ้นของราคา นี้ กำลังหมดแรง และ กำลังจะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลงในไม่ช้า หรือถ้าราคาหุ้นปรับลง ที่มีปริมาณการซื้อขาย Volume เริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จะเห็นว่ามันไม่ สอดคล้องกัน อาจสรุปได้วา แรงขายได้ใกล้หมดลงแล้ว จึงทำให้แรงซื้อจะกลับมาชนะแรงขายอีกครั้ง จากนั้น ตลาดจะปรับตัวเป็นขาขึ้นอีกรอบ
สรุป ปริมาณการซื้อขายหุ้น (volume) สามารถใช้เป็นเครื่องมือช่วยยืนยันความชัดเจนของแนวโน้มราคาหุ้นขึ้น หรือ ลง ว่าเป็นของจริง หรือ หลอก ได้ ทั้งนี้การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น เรามองว่าเป็นการวิเคราะห์ ความน่าจะเป็นของราคาหุ้นที่น่าจะเกิดขึ้น เป็นไปได้มากที่สุดในอนาคต ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามนั้น ดังนั้น เราต้องมีการตั้ง Stop Loss ไว้ด้วย เพื่อป้องกันความผิดพลาดและอย่าประมาท เราต้องมีการวางแผนการเล่นหุ้นด้วย เพราะถึงเวลาเทรดหุ้นจริงจะมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจอยู่มาก ต้องมีสติและวินัยในการลงทุนนะครับ
ที่มา Wave Riders , https://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=877, หุ้นพอร์ทระเบิด https://www.blockdit.com/posts/5c8388f0b94177471516fd70