เราสามารถวิเคราะห์คุณภาพของบริษัทที่เราต้องการลงทุนได้โดยการดูข้อมูลจากงบการเงิน แต่เนื่องจากข้อมูลในงบการเงินมีความซับซ้อนและมีข้อมูลจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์เราจะใช้อัตราส่วนทางการเงินเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้การวิเคราะห์ง่ายขึ้น โดยอัตราส่วนทางการเงินจะแสดงตัวเลขที่มีนัยยะสำคัญในแง่มุมต่างๆ ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ในการดูทิศทาง พฤติกรรมและแนวโน้มของบริษัท ยิ่งเราดูย้อนหลังหลายๆปีก็จะเห็นได้ชัดเจนขึ้น สำหรับท่านที่ยังไม่รู้จักหรือยังไม่คุ้นเคยกับการอ่านงบการเงิน สามารถศึกษาได้จาก http://www01.bualuang.co.th/le/help/kw/ebook004.pdf และ http://www.mrlikestock.com/ ซึ่งเมื่อพอจะเห็นภาพของงบการเงินแล้วว่าคืออะไรและสามารถบอกอะไรเราได้บ้างผมแนะนำให้ดู https://www.stocktold.com/50-days-season1/ และ https://www.stocktold.com/50-days-season-2/ ของ อ.โอ๊ค ซึ่งจะลงในรายละเอียดเพื่อให้เราสามารถอ่านงบการเงินได้ในแบบที่เรียกว่าอ่านเป็นพร้อมตัวอย่างที่ชัดเจน (สามารถติดตามข้อมูลดีๆจาก อ.โอ๊คได้ที่ https://www.facebook.com/search/top/?q=%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%20by%20%E0%B8%AD.%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%8A%E0%B8%84&epa=SEARCH_BOX และ https://www.stocktold.com/ )

สำหรับอัตราส่วนทางการเงินต่างๆในที่นี้จะเป็นการรวบรวมจากชั้นเรียนของ อ.โอ๊ค และแหล่งอื่นๆ โดยจะแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามแนวทางของ อ.โอ๊คได้เป็น
– อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratio)
– อัตราส่วนประสิทธิภาพในการบริหาร (Efficiency Ratio)
– อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratio)
– อัตราส่วนการอยู่รอด (Solvency Ratio)

อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratio)

Current Ratio (ใน fact sheet คือ อัตราส่วนสภาพคล่อง) Current Ratio เป็นการวิเคราะห์อัตราส่วนของสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนของบริษัท หากบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียนแสดงว่าบริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นเมื่อถูกทวงถาม แสดงว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่ดี การคำนวนอัตราส่วนทำโดย

Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน  

โดยค่าสินทรัพย์หมุนเวียนจะดูค่าจากงบดุล, หนี้สินหมุนเวียนดูค่าจากงบดุล (คำว่าหมุนเวียนหมายถึงในระยะ 1 ปี) ผลที่ได้ต้องมากกว่า 1 เท่าจึงจะแสดงว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่ดี

Quick Ratio ก็เป็นการวิเคราะห์สภาพคล่องของบริษัทเช่นเดียวกัน แต่จะไม่นำเอาสินค้าคงเหลือมาคิดเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนด้วย เพราะมีโอกาศที่สินค้าคงเหลือจะเสียหายหรือตกรุ่นได้จะไม่สามารถขายได้ราคาตามที่ต้องการหรือขายไม่ได้เลย ดังนั้นหากไม่นับสินค้าคงเหลือแล้วสภาพคล่องยังมีหมายถึงสภาพคล่องของบริษัทดีมาก การคำนวนอัตราส่วนทำโดย

Quick Ratio = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) / หนี้สินหมุนเวียน

โดยสินทรัพย์หมุนเวียนดูค่าจากงบดุล, สินค้าคงเหลือดูค่าจากงบดุล,
หนี้สินหมุนเวียนดูค่าจากงบดุล ผลที่ได้ต้องมากกว่า 1 เท่าจึงจะแสดงว่าบริษัทมีสภาพคล่องที่ดี อย่างไรก็ตามการคำนวน Quick Ratio ใช้ได้เฉพาะกับกิจการที่มีสินค้าคงเหลือและไม่สามารถใช้ได้กับธุรกิจไม่มีสินค้าคงเหลือ ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจการเงิน อสังหา+ก่อสร้าง เป็นต้น

ตัวอย่างการวิเคราะห์ เช่น ในการณีที่  Current Ratio ออกมาดี เช่น เป็น 3 แต่ Quick Ratio เป็น 1.2 แบบนี้แสดงว่าสินค้าคงเหลือหากขายไม่ออกจะมีผลกระทบกับสภาพคล่องของบริษัท ซึ่งเราต้องศึกษาสินค้าของบริษัทเพิ่มเติมด้วยว่ามีโอกาศที่จะขายไม่ออกหรือไม่ จะมีปัจจัยอะไรมากระทบหรือไม่

นอกจากนี้ Current Ratio และ Quick Ratio จะไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์ เพราะหากเงินสดของบริษัทได้มาจากการกู้ยืมซึ่งจะทำให้ค่าของสินทรัพย์หมุนเวียนมีค่ามาก ก็จะมีปัญหาได้ จึงให้ดูกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow of Operation : CFO)จากข้อมูลในงบกระแสเงินสดประกอบด้วย

Cash Flow of Operation to Current Liability : CCL เป็นการเปรียบเทียบกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน(CFO) ต่อ หนี้สินหมุนเวียน เพื่อดูแนวโน้มว่าจะมีปัญหากระแสเงินสดไม่เพียงพอหรือไม่ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาได้ หากกระแสเงินสดการดำเนินงาน (CFO) มีมากเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้หมายถึงบริษัทมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งมาก การคำนวนอัตราส่วนทำโดย    

CCL = (CFO / หนี้สินหมุนเวียน) x 100%

โดยกระแสเงินสดการดำเนินงาน (CFO)จะดูค่าจากงบกระแสเงินสด,หนี้สินหมุนเวียนดูค่าจากงบดุล ผลที่ได้ต้องมากกว่า 100% และยิ่งเยอะยิ่งดี

ในบางกรณีเราอาจจะพบว่าค่า CFO เป็นลบซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ เช่น บริษัทค้าขายสินค้าทีเป็นสินค่าโภคภัณฑ์ กระแสเงินสดจะหายไปในสต๊อคสินค้า หรือกรณีธนาคารหรือสินเชื่อ กระแสเงินสดจะหายไปเนื่องจากให้กู้ไป

อัตราส่วนประสิทธิภาพในการบริหาร (Efficiency Ratio)

Day Receive ป็นการดูจำนวนวันที่ลูกหนี้หรือลูกค้าค้างชำระซึ่งก็คือจำนวนวันที่ใช้ในการติดตามหนี้หรือเก็บเงินค่าขายสินค้าได้ โดยคำนวนหาค่า A/R Turnover เพื่อนำค่าที่ได้มาคำนวน Day Receive อีกทีหนึ่ง การคำนวนอัตราส่วนทำโดย

A/R Turnover = รายได้ / ลูกหนี้การค้า(เฉลี่ย) ; เป็นการหาจำนวนครั้งเฉลี่ยที่สามารถเก็บเงินจากลูกหนี้การค้าได้

Day Receive =  จำนวนวันของรายได้ / A/R Turnover  ; เพื่อดูว่าแต่ะครั้งใช้กี่วันกว่าจะเก็บหนี้ได้

โดยรายได้ดูค่าจากงบกำไรขาดทุน, ลูกหนี้การค้า(เฉลี่ย)ดูค่าจากงบดุล,
จำนวนวันของรายได้ให้ใช้จำนวนวันสอดคล้องตามรายงานที่นำมาใช้ เช่น งบปีใช้ 360 วัน งบ 1 ไตรมาสใช้ 90 วัน เป็นต้น ผลที่ได้โดยทั่วไปจะไม่เกิน 45-60 วันและหากน้อยกว่า 45 วันจะดีมาก

สำหรับลูกหนี้การค้า(เฉลี่ย)หมายถึงค่าเฉลี่ยของลูกหนี้การค้าของปีที่ต้องการคำนวนกับของปีก่อนหน้าในช่วงจำนวนวันเดียวกัน)

Inventory Day  เป็นการดูจำนวนวันที่สินค้าค้างในสินค้าคงคลัง จำนวนวันในที่นี้หมายถึงจำนวนวันในกระบวนการผลิตสินค้าทั้งกระบวนการตั้งแต่สต๊อควัตถุดิบ กระบวนการผลิต จนเป็นสินค้าสำเร็จรูปเก็บในสต๊อคสินค้าคงคลัง (raw > process > product > inventory) โดยคำนวนหาค่า Inventory Turnover เพื่อนำค่าที่ได้มาคำนวน Inventory Day อีกทีหนึ่ง การคำนวนอัตราส่วนทำโดย

Inventory Turnover = ต้นทุน / สินค้าคงเหลือ(เฉลี่ย) ; เป็นการหาจำนวนครั้งเฉลี่ยที่สามารถที่สามารถขายสินค้าได้

Inventory Day = จำนวนวันของต้นทุน / Inventory Turnover ; เพื่อดูว่าสินค้าค้างอยู่ในคลังกี่วันกว่าจะขายได้

โดยต้นทุนดูค่าจากงบกำไรขาดทุน,สินค้าคงเหลือ(เฉลี่ย)ดูค่าจากงบดุล, จำนวนวันของต้นทุนใช้จำนวนวันที่สอดคล้องตามรายงานที่นำมาใช้ เช่น งบปีใช้ 360 วัน งบ 1 ไตรมาสใช้ 90 วัน เป็นต้น ผลที่ได้คือยิ่งได้ค่าน้อยยิ่งดีแสดงว่าสินค้าขายออกได้ไว แต่ในกรณีที่ได้ค่ามากอาจจะไม่แย่เสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้าด้วย เช่น สินค้าบางชนิดขายได้ตามฤดูกาล ในกรณีนี้เราอาจจะต้องตามดูข้อมูลรายไตรมาสเพื่อให้เห็นแนวโน้มว่ามีไตรมาสใดที่ค่าลดลงอย่างเห็นได้ชัดหรือไม่ เพื่อยืนยันว่าสินค้าขายได้ตามฤดูกาล และเราควรประเมินด้วยว่าสินค้านั้นจะยังคงเป็นที่นิยมหรือจะเสื่อมคุณภาพหรือไม่หากเก็บไว้นานกว่าจะออกมาขาย

สำหรับสินค้าคงเหลือ(เฉลี่ย)หมายถึงค่าเฉลี่ยของสินค้าคงเหลือของปีที่ต้องการคำนวนกับของปีก่อนหน้าในช่วงจำนวนวันเดียวกัน)

A/P Day เป็นการดูจำนวนวันของเครดิตที่เจ้าหนี้ให้กับบริษัท โดยคำนวนหาค่า A/P Turnover เพื่อนำค่าที่ได้มาคำนวน A/P Day อีกทีหนึ่ง การคำนวนอัตราส่วนทำโดย

A/P Turnover = ต้นทุน / เจ้าหนี้ทางการค้า (เฉลี่ย) ; เป็นจำนวนครั้งเฉลี่ยในการชำระเงินให้เจ้าหนี้

A/P Day = จำนวนวันของต้นทุน / A/P Turnover  ; เพื่อดูจำนวนวันของเครดิตที่เจ้าหนี้ให้

โดยต้นทุนดูจากงบกำไรขาดทุน, เจ้าหนี้ทางการค้า ดูจาก งบดุล, จำนวนวันของต้นทุน ดูค่าจาก ใช้จำนวนวันสอดคล้องตามรายงานที่นำมาใช้ เช่น งบปีใช้ 360 วัน งบ 1 ไตรมาสใช้ 90 วัน เป็นต้น ผลที่ได้โดยทั่วไปจะไม่เกิน 45-60 วันและยิ่งมากยิ่งดี

สำหรับเจ้าหนี้ทางการค้า(เฉลี่ย)หมายถึงค่าเฉลี่ยของเจ้าหนี้ทางการค้าของปีที่ต้องการคำนวนกับของปีก่อนหน้าในช่วงจำนวนวันเดียวกัน)

CC Day: Cash Cycle Day เป็นการดูจำนวนวันที่บริษัทสามารถดึงเงินสดไว้ได้ก่อนที่จะชำระเจ้าหนี้ทางการค้า การคำนวนทำโดย

CC Day: Cash Cycle Day =  Day Receive + Inventory Day – A/P Day   

ผลที่ได้ ยิ่งน้อยยิ่งดี ยิ่งติดลบยิ่งดี (โดยทั่วไปจะไม่เกิน 45-60 วัน น้อยกว่า 45 วันจะดีมาก ) แสดงว่าเครดิตเจ้าหนี้การค้ายาวนาน มีอำนาจในการต่อรองเจ้าหนี้ (Day Receive: จำนวนวันที่เงินจมไปกับลูกหนี้, Inventory Day: จำนวนวันที่เงินจมไปกับสินค้า, A/P Day: จำนวนวันที่ต้องจ่ายเจ้าหนี้ )

อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratio)

อัตรากำไรขั้นต้น (GPM : Gross Progit Margin) คือ อัตรากำไรขั้นต้นหักด้วยต้นทุนขาย (ยังไม่รวมค่าแรง ค่าการบริหาร) หากกำไรขั้นต้นดี แสดงว่าสินค้ามีอำนาจในการตั้งราคาได้สูง มักจะเป็นสินค้าที่มีขื่อเสียง หรือเป็นที่ต้องการ หรือเป็นสินค้าที่ขาดตลาด หรือลูกค้าผลิตเองไม่ได้ หรือมีกระบวนการที่ตั้งราคาที่สูงได้ เราควรเลือกบริษัทที่มี GPM สูงๆด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่จากกำไรพิเศษ หรือ กำไรจากบริษัทลูก ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิสูงแต่ไม่ยั่งยืนเพราะไม่ได้มาจากความสามารถของตัวเอง GPM ยิ่งสูงยิ่งดีและควรสูงในระดับ 20% ขึ้นไป เพราะหลังจากนี้จะต้องถูกหักค่าโน่นนี่นั่นอีกมากมายก่อนจะมาเป็นกำไรสุทธิ ในกรณีที่บริษัทมีกำไรขั้นต้นติดลบแสดงว่าบริษัทต้องหาทางจัดการกับต้นทุนขายก่อน การคำนวนอัตราส่วนทำโดย

GPM = ((รายได้ – ต้นทุน) / รายได้) x 100%

โดยรายได้ดูจากงบกำไรขาดทุน, ต้นทุนดูจากงบกำไรขาดทุน ผลที่ได้สำหรับธุรกิจทั่วไป 2 หลักถือว่าดี แต่ต้องสม่ำเสมอ ไม่เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง (หากสม่ำเสมอหมายถึงผู้ขายมีอำนาจในการต่อรองกับผู้ที่ขายวัตถุดิบหรือโรงงานที่รับผลิต เป็นต้น)

ข้อควรระวังในการใช้ค่า GPM คือให้สังเกตุว่าธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจผูกขาด หรือธุรกิจสัมปทาน หรือธุรกิจวัฏจักรหรือไม่ โดยการดูรายละเอียดการทำมาหากินของ๔ุรกิจและดูข้อมูลย้อนหลังหลายๆปี ธุรกิจผูกขาดและธุรกิจสัมปทานส่วนใหญ่จะคำนวนค่า GPM ได้เกินกว่า 20% อยู่แล้วเพราะเป็นกิจการที่ไม่มีคู่แข่งแต่อัตราการเติบโตของธุกิจในระยะยาวอาจจะไม่สูงมากเพราะธุรกิจประเภทนี้หากต้องการเพิ่มการเติบโตจะต้องเพิ่มการทำโครงการใหญ่ๆใหม่ๆไปเรื่อยๆซึ่งก็ไม่ค่อยง่ายนัก ส่วนธุรกิจวัฏจักรการที่กำไรสูงมากอาจจะเป็นสัญญาณบอกว่าธุรกิจกำลังจะเป็นขาลงก็เป็นได้

อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (OPM : Operating Profit Margin)  เป็นการดูอัตราส่วนการทำกำไรก่อนจ่ายดอกเบี้ยและภาษี(EBIT) ต่อ รายได้ เพื่อให้ดูว่าบริษัทมีอัตราการทำกำไรที่สูงหรือไม่ เช่น รายได้ 100 บาท ได้กำไร 20 บาท ย่อมดีกว่า รายได้ 100 บาท แล้วได้กำไรแค่ 2 บาท นอกจากนี้ความสามารถในการทำกำไรได้สูงยังหมายถึงสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดและ/หรือคู่แข่งน้อย จึงสามารถตั้งราคาขายได้ค่อนข้างสูง

OPM = (กำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษี (EBIT) / รายได้) x 100%

โดยกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษี (EBIT) ดูจาก งบกำไรขาดทุน,รายได้ ดูจาก งบกำไรขาดทุน ผลที่ได้จะแสดงถึงความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่าย (ค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เงินเดือนลูกน้อง ค่าส่งเสริมการขาย ค่าการตลาด ค่าเสื่อม ) สำหรับธุรกิจทั่วไป 2 หลักถือว่าดี

อัตรากำไรสุทธิ (NPM : Net Profit Margin) เป็นการดูอัตราส่วนของกำไร ต่อ รายได้ ซึ่งเป็นกำไรหลังจากหักค่าใช้จ่ายจ่ายดอกเบี้ยและภาษี(EBIT) และ ค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้ว หาก OPM มีอัตราส่วนที่ดี แต่ NPM ได้ค่าที่ไม่ดี จะต้องไปดูว่าค่าใช้จ่ายใดที่มาลดทอนอัตราการทำกำไรลง

NPM = (กำไรสำหรับงวด(ปี) / รายได้) x 100%

โดยกำไรสำหรับงวด(ปี)  ดูจาก งบกำไรขาดทุน,รายได้ ดูจาก งบกำไรขาดทุน ผลที่ได้จะให้ดีต้อง 2 หลักถือว่าดีและต้องสม่ำเสมอ กำไรสุทธิจะแบ่งออก 2 ส่วน คือ จ่ายปันผล กับสะสมในงบดุล

ข้อควรระวัง ให้ระวังกำไรทางบัญชี หรือ กำไรพิเศษ ซึ่งเป็ยกำไรที่ไม่ได้มาจากกิจกรรมการดำเนินงานหลักของบริษัท จึงต้องหักกำไรส่วนนี้ออกก่อนที่จะนำมาคำนวน เพื่อให้เห็นความสามารถของบริษัทที่แท้จริง

คุณภาพของกำไร (QE : Quality of Earning)  เป็นการดูอัตราส่วนของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ต่อ กำไรสุทธิ หากกำไรส่วนใหญ่ได้จากการทำมาค้าขายตามปรกติของบริษัท ย่อมแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีการหารายได้ที่มั่นคง

QE = (CFO / กำไรสุทธิ) x 100%

โดยCFO ดูจาก งบกระแสเงินสด, กำไรสุทธิ ดูจาก งบกำไรขาดทุน (ตัวเดียวกับ กำไรสำหรับงวด(ปี)) ผลที่ได้ควรต้องเกิน 100%

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA ; Return on Asset) เป็นการดูอัตราส่วนระหว่างกำไร ต่อ สินทรัพย์ เพื่อดูว่าบริษัทบริหารสินทรัพย์ให้เกิดผลกำไรได้มากน้อยแค่ไหน 
ROA(เก่า) = (กำไรสุทธิ / สินทรัพย์รวม(เฉลี่ย)) x 100%

ROA(ใหม่) = (กำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษี (EBIT) / สินทรัพย์รวม(เฉลี่ย)) x 100%

โดยกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษี (EBIT) ดูจาก งบกำไรขาดทุน, สินทรัพย์รวม ดูจาก งบดุล, ผลที่ได้จะให้ดีต้อง 2 หลัก อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ว่า ROA อาจจะต่ำกว่า 2 หลักได้ เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจโรงกลั่น เพราะมีต้นทุนในการสร้างโรงงานสูง

การคิดค่า ROA แบบใหม่สามารถเอาไว้เปรียบเทียบกับบริษัทอื่นได้ด้วยว่าบริหารดีหรือไม่ดี เพราะไม่ได้เอาภาระดอกเบี้ยจากอดีตของผู้บริหารชุดเก่ามาคิด ประสิทธิภาพของการทำกำไรจากสินทรัพย์  ROA จะเป็นตัวบอกฝีมือของผู้บริหาร

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE = Return on Equity) เป็นการดูอัตราส่วนระหว่างกำไร ต่อ ส่วนของผู้ถือหุ้น เพื่อดูว่าบริษัทสามารถทำกำไรต่อหุ้นได้เท่าไร

ROE = (กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น(เฉลี่ย)) x 100%

โดยกำไรสุทธิดูจากงบกำไรขาดทุน, ส่วนของผู้ถือหุ้นดูจากงบดุล ผลที่ได้จะต้อง 2 หลักขึ้นไปและสม่ำเสมอจึงจะถือว่าดี

อัตราส่วนการอยู่รอด (Solvency Ratio)

อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) เป็นการดูอัตราส่วนของทุนที่ได้จากผู้ถือหุ้น ต่อ หนี้สินของบริษัท อย่างที่ทราบว่า ทรัพย์สิน = หนี้สิน + ทุน (ส่วนของผู้ถือหุ้น) ดังนั้นยิ่งส่วนของผู้ถือหุ้นมีมากเท่าไร บริษัทก็ยิ่งมีความมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น เพราะไม่ได้กู้หนี้ยืมสินมาเพื่อสร้างเป็นทรัพย์สินนั่นเอง

D/E Ratio = รวมหนี้สิน / ส่วนของผู้ถือหุ้น

โดยหนี้สินรวมดูจากงบดุล, ส่วนของผู้ถือหุ้นดูจากงบดุล ผลที่ได้ไม่ควรเกิน 2 เท่า หรือถ้าจะเอาแบบอนุรักษ์นิยมก็คือไม่ควรเกิน 1 เท่า

ข้อสังเกตุ ในกรณีที่บริษัทมีการกู้เงินจากธนาคาร บางครั้งในสัญญาการกู้เงินจะกำหนดไว้อยู่แล้วว่า บริษัทจะต้องไม่ให้อัตราส่วนเกินจำนวนที่ตกลงกันไว้ เช่น ต้องไม่เกิน 1.5 เป็นต้น และสำหรับธุรกิจผูกขาด หรือเจ้าของมีเครดิตดี เราอาจจะพิจารณาให้ D/E เกิน 2 ได้

อัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษี (Debt/EBIT) เป็นการดูอัตราส่วนของหนี้สินที่มีดอกเบี้ย ต่อ รายได้ ที่เน้นว่าต้องเป็นหนี้สินที่มีดอกเบี้ยเพราะว่านอกจากเงินต้นแล้ว ยังมีดอกเบี้ยเป็นภาระอีกด้วย

Debt/EBIT = หนี้สินมีดอกเบี้ย /  EBIT

โดยหนี้สินมีดอกเบี้ยให้ดูจากงบดุล,กำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษี(EBIT)ดูจากงบกำไรขาดทุน ผลที่ได้หากต่ำกว่า 5 คือดีมากแต่ถ้าเกิน 8 คืออันตราย

จำนวนงวดที่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้โดยใช้ CFO มาจ่ายเท่านั้น 

MICR = (CFO + I + T) / I

MICR ย่อมาจาก Modified Interest Coverage Ratio, I คือดอกเบี้ยจ่าย, T คือภาษี อัตราส่วนนี้ให้ใช้กับงบกระแสเงินสดเท่านั้น ผลที่ได้ยิ่งมากยิ่งดีและห้ามต่ำกว่า 1 เท่า

ข้อควรระวัง ดอกเบี้ย (I) มีได้ทั้งใน CFO และ CFF ฉะนั้นต้องดูให้ทั่ว บางครั้งดอกเบี้ย (I) จะถูกเขียนว่าต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นยอดรวมของดอกเบี้ยจ่ายและค่าธรรมเนียม

อัตราส่วนวัดความสามารถในการจ่ายคืนดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio) เป็นการพิจารณาว่าธุรกิจมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจเพียงพอที่จะจ่ายคืนดอกเบี้ยจ่ายมากน้อยเพียงใด ยิ่งอัตราส่วนสูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถที่จะชำระคืนดอกเบี้ยได้ดี

Interest Coverage Ratio = กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) / ดอกเบี้ยจ่าย

โดยกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษี (EBIT) ดูจาก งบกำไรขาดทุน, ดอกเบี้ย (I) มีได้ทั้งใน CFO และ CFF ฉะนั้นต้องดูให้ทั่ว ผลเป็นจำนวนเท่ายิ่งมากยิ่งดี